หน้าหลัก > บล็อก > สาย LAN แบบไหนที่จะเหมาะกับอุปกรณ์ของคุณ

สาย LAN แบบไหนที่จะเหมาะกับอุปกรณ์ของคุณ

โดย thanaporn.nuchphadung

รู้จักกับสาย LAN แต่ละประเภท และวิธีเลือกใช้งานให้เหมาะสม

สาย LAN เป็นสายนำสัญญาณชนิดหนึ่ง สาย LAN นั้นมีมากมายหลายประเภท วันนี้เราจะมาดูกันว่าสาย LAN แบบไหนที่จะเหมาะกับอุปกรณ์ของคุณมากที่สุด

 

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับสาย LAN กันก่อน

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตไร้สายกำลังเป็นที่นิยม สาย LAN กลับทวีความสำคัญมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดในการรับส่งข้อมูล โดยเฉพาะในองค์กรด้านการเงิน การธนาคาร และหน่วยงานรัฐบาลที่ต้องการป้องกันการดักจับข้อมูลทางอากาศ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตสาย LAN รุ่นใหม่ของ TP-Link ที่มีการหุ้มฉนวนพิเศษและระบบป้องกันสัญญาณรบกวน ทำให้การรับส่งข้อมูลมีความปลอดภัยสูงและมีเสถียรภาพมากกว่าการเชื่อมต่อไร้สาย นอกจากนี้ สาย LAN ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดพลังงาน เพราะใช้พลังงานน้อยกว่าการส่งสัญญาณผ่านคลื่นวิทยุ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการอนุรักษ์พลังงานและการลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

สาย LAN หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการว่า สาย UTP (Unshielded Twisted Pair) เป็นสายนำสัญญาณชนิดหนึ่ง ที่มีตัวนำสัญญาณเป็นทองแดงบิดตีเกลียวกันเป็นคู่ (Twisted Pairs) โดยทั่วไปใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการรับ-ส่งข้อมูล หรือเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายกลาง เช่น Network Switch, Hub, รวมไปถึง Router ก็ได้เช่นกัน ในส่วนของหัวที่ใช้เชื่อมต่อสาย LAN นั้น เราเรียกว่า RJ45 

สาย LAN สามารถแบ่งตาม Bandwidth ที่รองรับได้ออกเป็น Category ดังนี้

Category

Speed

Bandwidth

Cat5

10/100 Mbps

100 MHz

Cat 5e

1000 Mbps

100 MHz

Cat 6

1000 Mbps

250 MHz

Cat 6a

10 Gbps

500 MHz

Cat 7

10 Gbps

600 MHz

Cat 8

25/40 Gbps

2000 MHz

 

สาย Lan มีกี่เส้น กี่สี?

มีทั้งหมด 8 เส้น 4 คู่ มีสีดังต่อไปนี้ ขาวส้ม ส้ม ขาวเขียว เขียว ขาวฟ้า ฟ้า ข้าวน้ำตาล น้ำตาล

การเรียงลำดับสีในการเข้าหัวอย่างไร ?

โดยเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา ดังนี้ ขาวส้ม ส้ม ขาวเขียว ฟ้า ขาวฟ้า เขียว ขาวน้ำตาล น้ำตาล

การเลือกสายนำมาใช้งาน

จาก Category(CAT) เราจะเห็นได้ว่ามีสาย LAN หลากหลายแบบให้เลือกมากมาย ดังนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรนำสายใดมาใช้งานกับอุปกรณ์ของเรา

ในขั้นแรกเราจะต้องรู้ว่าอุปกรณ์ของเรานั้นแต่ละ Port การเชื่อมต่อรองรับ Bandwidth หรือ Speed ได้เท่าไหร่ โดยมีวิธีการ

ดู Specs ได้ตามภาพตัวอย่างด้านล่าง  ตัวอักษรสีแดงตรงคำว่า
28-Port Gigabit และ 8-Port 10/100Mbps

 

 

 

TL-SG3428MP
JetStream 28-Port Gigabit L2 Managed Switch with 24-Port PoE+

TL-SL1311MP
8-Port 10/100Mbps + 3-Port Gigabit Desktop Switch with 8-Port PoE+

เราจะเห็นได้ว่าบางครั้งบน Specs อุปกรณ์ก็เขียนว่า Gigabit หรือ 10/100/1000Mbps เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าข้อความที่แสดงนั้นหมายความว่า

อย่างไร วันนี้แอดมินจะมาอธิบายคราวๆ ดังนี้

100/1000/2.5G/10G (Gigabit Port/Ethernet) หมายความว่า Port นี้สามารถรองรับสาย LAN และ Port ปลายทางความเร็วต่ำสุดที่ 100Mbps,1000Mbps, 2500Mbps สูงสุดที่ 10000Mbps (ยังคงเรียก Gigabit Port เนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงหน่วยวัดสูงสุดคือ Gigabit(Gbit) ยังไม่ถึง Tarabit(Tbit)

10/100/1000Mbps (Gigabit Port/Ethernet) หมายความว่า Port นี้สามารถรองรับสาย LAN และ Port ปลายทางความเร็วต่ำสุดที่ 10Mbps, 100Mbps สูงสุดที่ 1000Mbps

10/100Mbps (Fast Port/Ethernet) หมายความว่า Port นี้สามารถรองรับสาย LAN และ Port ปลายทางความเร็วต่ำสุดที่ 10Mbps สูงสุดที่ 100Mbps

โดยอุปกรณ์จะเลือกเชื่อมต่อที่ความเร็วช่วงใดช่วงนึงเท่านั้น แต่ปกติแล้วอุปกรณ์จะเลือกความเร็วสูงสุดของแต่ละอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ

เช่น Switch รุ่นเก่ามี Port ที่มีความเร็วเป็น 10/100 Mbps (Fast Port) และคุณได้ซื้อ Switch ใหม่ซึ่ง Port มีความเร็วเป็น 10/100/1000 Mbps (Gigabit Port)

 

 

ข้อควรรู้!

อุปกรณ์จะทำการตรวจสอบและเลือกใช้ความเร็วที่ทั้ง 2 ฝั่งสามารถส่งข้อมูลได้ซึ่งก็คือความเร็วสูงสุดที่ 100 Mbps

** 1000 Mbit = 1 Gbit **

 

 

เราก็จะเห็นแล้วว่าสาย LAN แบบไหนที่เหมาะกับการใช้งานกับอุปกรณ์ของคุณมากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของระบบเครือข่ายของคุณที่ดีที่สุด

 

เราจึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในการใช้งาน

ยกตัวอย่างรุ่น

TL-SG3428MP
JetStream 28-Port Gigabit L2 Managed Switch with 24-Port PoE+
จะเห็นได้ว่าสวิตซ์รุ่นด้านบนเป็นพอร์ต Gigabit เมื่อไปตรวจสอบแล้วว่าพอร์ตนี้รองรับสาย LAN/Port ปลายทางต่ำสุดที่ 10Mbps , 100Mbps และสูงสุดที่ 1000 Mbps
 

จะพบว่าเหมาะสมกับการใช้งานร่วมกับสาย LAN Cat5e และ Cat 6

 

Category

Speed

Bandwidth

Cat5

10/100 Mbps

100 MHz

Cate5e

1000 Mbps

100 MHz

Cat 6

1000 Mbps

250 MHz

Cat 6a

10 Gbps

500 MHz

Cat 7

10 Gbps

600 MHz

Cat 8

25/40 Gbps

2000 MHz

 

ใช้สาย LAN กับ WiFi ต่างกันอย่างไร

หากพิจารณาถึงความสะดวกสบายแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า WiFi สะดวกกว่าการใช้งานแบบสาย LAN แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น การใช้งานแบบมีสาย (อีเทอร์เน็ต) ก็ยังมีข้อดีอีกมากมาย

ความเร็วอินเตอร์เน็ตเร็วกว่า – หากคุณใช้งานคอมพิวเตอร์แล้วลองทดสอบสปีดเทสระหว่าง สาย LAN และ WiFi จะค้นพบเลยว่า การเชื่อมต่อแบบมีสายจะให้ความเร็วที่เร็วกว่าอย่างน่าประทับใจเมื่อใช้งานร่วมกับสาย LAN Cat 6

ไม่เพียงแต่ความเร็วเท่านั้นที่คุณจะได้รับ สัญญาณที่นิ่งและคงที่ เพิ่มความน่าเชื่อถือในการเชื่อมต่อ หลายครั้งที่คุณใช้งาน WiFi จะพบสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ไฟฟ้า กำแพงที่หนาหลายชั้น หรือหลายปัจจัยมากมาย เราอาจพบสัญญาณที่ขาดหายบ้างซึ่งอาจจะทำให้ไม่พอใจได้หากอินเตอร์เน็ตสะดุดขณะเล่นเกมส์ออนไลน์ หรือกำลังประชุมอยู่
 

เมื่อไหร่ที่สามารถใช้สาย LAN

จงจำไว้ว่าการเลือกใช้งานแบบมีสายจะต้องมีการ ‘เดินสาย’ และในบางครั้งคุณอาจจะไม่สะดวกที่จะเดินสายเคเบิ้ลไปรอบบ้าน นอกจากจะลำบากแล้วยังไม่สวยงามอีกด้วย

ในทางกลับกัน การเดินสายสำหรับคอมพิวเตอร์แค่ 1 ตัว อาจจะไม่ลำบากอะไรนัก และกับการสตรีมที่มีคุณภาพดีกว่า และอินเตอร์เน็ตที่เร็วกว่า

อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่าเจ้าของบ้านต้องการแบบไหน ที่จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณและครอบครัวที่สุด

 

อุปกรณ์ใดบ้างที่ใช้งานสาย LAN

Hub
ฮัปคืออุปกรณ์ที่ทำให้คุณสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายเดียวผ่านสาย LAN ทำงานเป็นจุดเชื่อมต่อ ทำหน้าที่เพียงส่งผ่านการรับ-ส่งข้อมูลที่ไดรับไปยังคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ การรับ-ส่งข้อมูลเช่น คุณมีเราเตอร์หนึ่งตัวที่มีพอร์ตด้านหลังเพียงแค่ 4 ตัว แต่คุณมีคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง และต้องการต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสาย LAN ทั้ง 6 เครื่อง คุณจำเป็นจะต้องมีจุดเชื่อมต่อเพิ่มหรือก็คือฮับ

 Network Switch
Network Switch คือ อุปกรณ์ที่เชื่อมอุปกรณ์ network เข้าด้วยกัน โดยใช้สายแลนต่อเข้ากับ Port ของแต่ละอุปกรณ์ และยังสามารถจัดการการเชื่อมต่อระหว่าง network ได้

อ่านดูแล้วสองสิ่งนี้ดูจะคล้ายกันมาก แล้วมันต่างกันอย่างไร?

  • การทำงานของ Switch จะส่งข้อมูลออกไปเฉพาะ Port ที่ใช้ในการติดต่อกับเครื่องปลายทางเท่านั้น ไม่ส่งกระจายข้อมูลไปยังทุก Port เหมือนอย่าง Hub ทำให้ใน Switch ไม่มีปัญหาการชนกันของข้อมูล
  • โหมดการส่งข้อมูลของ Hub เป็นแบบ Half-Duplex ในขณะที่ Switch เป็นแบบ Full-Duplex
  • Hub ไม่ใช้ซอฟต์แวร์ ในขณะที่ Switch มีซอฟต์แวร์และสามารถอัพเดทได้
  • Hub จะทำหน้าที่เป็นตัวขยายข้อมูลเท่านั้น ในขณะที่ Switch จะสามารถทำหน้าซับซ้อนมากกว่านั้นSwitch บางประเภท มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยบริหารจัดการได้บนอุปกรณ์ เช่น การจัดการด้าน VLAN (Virtual LAN)
  • ราคา Hub จะถูกกว่า Switch

 

Router/Modem
อุปกรณ์ต้นทางทำหน้าแปลงสัญญาณจากผู้ให้บริการผ่านพอร์ต WAN มาเพื่อใช้งาน หรือส่งออกสัญญาณไปยังอุปกรณ์ปลายทาง เช่น คอมพิวเตอร์ , โทรศัพท์ (พอร์ต LAN)

Access Point
ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อสัญญาณ คือรับสัญญาณมาจากเราเตอร์หรือโมเด็ม แล้วจากนั้นจึงกระจายสัญญาณไปยังพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง
เรียกได้ว่า Access Point และ Router แตกต่างกันตรงที่ Router ส่วนใหญ่จะทำหน้าเป็น Access Point ได้ แต่ Access Point จะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเราเตอร์ได้

Range Extender
ทำหน้าที่ขยายสัญญาณที่ได้รับจากเราเตอร์ โดยมีลักษณะเป็นตัวทำซ้ำของอุปกรณ์ที่รับสัญญาณ เพื่อให้สัญญาณสามารถครอบคลุมระยะทางไกลมากยิ่งขึ้น
Range Extender  จะใช้งานในลักษณะเสียบปลั๊กแล้วกระจายสัญญาณ มีบางรุ่นเท่านั้นที่มีพอร์ตเชื่อมต่อมาให้

Camera

กล้องวงจรปิดเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่มีทั้งใช้งานแบบมีสายและไร้สาย ทำหน้าที่เป็นสอดส่องหรือบันทึกภาพเหตุการณ์เคลื่อนไหวเพื่อใช้รักษาความปลอดภัย

 

Printer

โดยปกติแล้ว Printer ที่ไม่มีพอร์ต LAN มา คุณจำเป็นต้องหาคอมพิวเตอร์ซักเครื่อง ทำการติดตั้งไดร์เวอร์ของ Printer เข้ากับคอมเครื่องนั้นถึงจะปริ้นได้ แต่หากเป็นปริ้นเตอร์ที่มี Port LAN ติดมาอยู่แล้วก็เพียงแค่เซ็ท IP Address , DNS Gateway ให้อยู่ในวงแลนดียวกันก็สามารถใช้งานร่วมกันได้

 

เลือกเราเตอร์ประสิทธิภาพสูงเพื่อการใช้งานร่วมกับสาย LAN ประเภทต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกเราเตอร์ Wi-Fi จาก TP-Link ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายเราเตอร์โมเด็มแบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยให้ทุกความต้องการในการใช้งานเราเตอร์ Wi-Fi ร่วมกับสาย LAN เพื่อการเชื่อมต่อเข้ากับ Home Automation, หุ่นยนต์ทำความสะอาด, หุ่นยนต์ดูดฝุ่น, กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ, อุปกรณ์สมาร์ทโฮม, ระบบรักษาความปลอดภัย, กล้องวงจรปิดไร้สาย, Security Camera, WiFi Camera, CCTV ราบรื่นไม่มีสะดุดอยู่เสมอ

TP-Link: ผู้นำด้านเทคโนโลยีเครือข่ายและความปลอดภัยภายในบ้าน

TP-Link ไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านสาย LAN แต่ยังเป็นผู้นำในตลาดกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์ Smart Home

กล้องวงจรปิดไร้สาย TP-Link:

  • คุณภาพระดับ HD ชัดเจนทุกรายละเอียด
  • ระบบการแจ้งเตือนอัจฉริยะ
  • ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก
  • ราคาคุ้มค่า เหมาะสำหรับทุกบ้าน

Smart Home Solutions:

  • ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟน
  • ประหยัดพลังงานด้วยระบบอัตโนมัติ
  • เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน

 

เมื่อพูดถึงระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ สาย LAN คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะในยุคที่การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด อุปกรณ์ Smart Home หรือระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ การเลือกใช้สาย LAN ที่มีคุณภาพจาก TP-Link พร้อมด้วยอุปกรณ์เครือข่ายที่เข้ากันได้อย่างลงตัว เช่น Router, Switch หรือ Access Point จะช่วยให้ระบบเครือข่ายของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะ TP-Link เข้าใจดีว่าระบบเครือข่ายที่ดีต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง นั่นคือการเลือกใช้สาย LAN ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณนั่นเอง

 

TP-Link พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ง่ายดาย และคุ้มค่า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคุณ
ค้นพบโซลูชั่นความปลอดภัยและ Smart Home ที่เหมาะกับคุณได้แล้ววันนี้ที่ TP-Link

 

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ กล้องวงจรปิดสำนักงาน,กล้องวงจรปิด, digital cctv
จาก TP Link และติดตามข้อมูลข่าวสารจาก TP-LINK ได้ที่

Website : www.tp-link.com
Line : @tplink หรือ คลิกที่นี่
Facebook: facebook.com/tplinkth
YouTube: www.youtube.com/@TPLINK-TH
Shopee: https://bit.ly/3xIiOxg

Lazada: https://bit.ly/3UndFUf

thanaporn.nuchphadung